Grid Brief
- เมื่อคน Gen Y-Z คือคนทำงานส่วนใหญ่ที่เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กรไปสู่ความสำเร็จ ดังนั้น ทุกองค์กรจึงต้องให้ความสำคัญในการปรับเปลี่ยนบรรยากาศและหลักการทำงานให้สอดคล้องกับความต้องการของคนทั้งสองรุ่นนี้เป็นหลัก
- คน Gen Y-Z มีบุคลิกและแนวคิดในการทำงานเฉพาะตัว ทำให้พวกเขามองหาองค์กรที่มีหนทางสร้างความก้าวหน้าในอาชีพของตนเองอย่างชัดเจน
- การรักษาคนเก่งให้อยู่กับองค์กรได้นานขึ้น จำเป็นต้องสร้างแนวทางในการทำงานให้สอดคล้องกับสิ่งที่คน Gen Y-Z มองหา เช่น การจัดให้มีโปรแกรมอบรมพัฒนาศักยภาพคนทำงาน ไปจนถึงการเปิดโอกาสให้ได้ทำงานอย่างยืดหยุ่น เป็นต้น
มีการคาดการณ์กันว่า ในปี พ.ศ.2568 “Gen Y จะมีสัดส่วนมากถึง 75% ของกำลังแรงงานทั่วโลก” แต่ปัญหาที่หลายองค์กรมักพบเจอไม่ต่างกัน คือ คนทำงานรุ่นใหม่ ซึ่งหมายถึงผู้ที่อยู่ใน Gen Y หรือ Gen Millennial (เกิดระหว่างปี พ.ศ.2524-2539) และ Generation Z หรือ Digital Natives (เกิดระหว่างปี พ.ศ.2540-2555) มีแนวโน้มที่จะลาออกหรือเปลี่ยนงานสูงมาก
มาทำความเข้าใจความต้องการของ “คนทำงานรุ่นใหม่” ทั้งสองรุ่นนี้กันดีกว่า เพื่อหาวิธีสร้างองค์กรในฝันที่จะช่วยรักษาคนเก่งให้อยู่กับองค์กรได้อย่างยาวนาน
เข้าใจ “คนทำงานรุ่นใหม่” กับสิ่งที่มองหาในองค์กร
เพราะการเปลี่ยนผ่านของทุกองค์กรสู่ความเป็นดิจิทัล (Digital Transformation) นี่เอง ที่ส่งผลให้เทรนด์การทำงานทั่วโลกปรับเปลี่ยนไปสู่การใช้ระบบอัตโนมัติ (Autonomous) การเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning) เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ซึ่งกลุ่มของคนที่ปรับตัวเข้ากับการเปลี่ยนผ่านนี้ได้ง่ายกว่าใคร คือ Gen Y และ Gen Z ที่เป็นบุคลากรส่วนใหญ่ของทุกองค์กร
แต่ต้องยอมรับว่า บุคลิกประจำตัวของคนทั้งสองเจอเนอเรชันนี้มีความแตกต่างจากคนรุ่นอื่น เพราะพวกเขามีความคิดเป็นของตัวเอง ไม่ยึดติดอยู่ในกรอบการใช้ชีวิตเหมือนคน Gen X และ Baby Boomer จึงมีความฝันอยากเป็นผู้ประกอบการมากกว่าคนรุ่นอื่น ทั้งยังเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่เสมอ เรียนรู้และปรับตัวได้เร็ว ซึ่งถ้าองค์กรใดเข้าใจความแตกต่างและตอบสนองความต้องการของสองรุ่นนี้ได้ตรงจุด ย่อมสามารถรักษาคนทำงานทั้งสองรุ่นนี้ให้อยู่กับองค์กรได้นานขึ้นอย่างแน่นอน
รู้ทันความต้องการ เพื่อรักษาคนเก่งให้อยู่กับองค์กรได้นานขึ้น
ดังที่เกริ่นมาแล้วว่า คนทำงาน Gen Y-Z มีความต้องการเฉพาะด้าน ซึ่งผลสำรวจมากมายระบุไว้ชัดเจนว่า สิ่งที่คนสองเจนเนอเรชันนี้ต้องการจากบริษัทมีดังนี้
1. ‘วัฒนธรรมองค์กร’ ที่สอดคล้องกับค่านิยมส่วนตัว
จากรายงานของ LinkedIn Workplace Culture ระบุว่า คนใน Gen Y-Z กว่า 86% ยอมได้ค่าจ้างน้อยลง หากได้ทำงานในบริษัทที่มีพันธกิจ ค่านิยม ตลอดจนอุดมการณ์ที่สอดคล้องกับแนวคิดของตนเอง
2. มีเส้นทางการเติบโตในอาชีพที่ทำอย่างชัดเจน
ผลสำรวจล่าสุดของ Robert Walters พบว่า กว่า 91% ของคนทำงาน Gen Y-Z ยกให้ความก้าวหน้าในอาชีพเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ดังนั้น พวกเขาจึงต้องการอยู่ในองค์กรที่มีหนทางการเติบโตในตำแหน่งหน้าที่อย่างชัดเจน ซึ่งจะนำไปสู่การวางแผนที่จะอยู่กับองค์กรนั้นนานขึ้นได้
การรักษาคนเก่งให้อยู่กับองค์กรได้นานขึ้น จำเป็นต้องสร้างแนวทางในการทำงานให้สอดคล้องกับสิ่งที่คน Gen Y-Z มองหา เช่น การจัดให้มีโปรแกรมอบรมพัฒนาศักยภาพคนทำงาน ไปจนถึงการเปิดโอกาสให้ได้ทำงานอย่างยืดหยุ่น เป็นต้น
3. สื่อสารเรื่องผลการทำงานแบบไม่ปิดบัง
72% ของคน Gen Y-Z ตามผลสำรวจของ Clutch HR ระบุว่า ตนจะรู้สึกยินดีถ้าหัวหน้างานสื่อสารอย่างตรงไปตรงมาว่า งานที่ตัวเองทำอยู่นั้น อยู่ในระดับที่น่าพึงพอใจแล้วหรือยัง หรือมีด้านไหนควรปรับปรุงอีกหรือไม่
4. จัดโปรแกรมอบรมพัฒนาศักยภาพคนทำงาน
คน Gen Y-Z เป็นคนแห่งยุคดิจิทัลที่สามารถเรียนรู้และเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น คนทำงานกลุ่มนี้จึงมองหาโปรแกรมการอบรมเพื่อพัฒนาศักยภาพ และเพิ่มเติมทักษะใหม่ ๆ ที่จำเป็นในการทำงาน ดังนั้น การสร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งการเรียนรู้จึงเป็นสิ่งที่คนรุ่นนี้มองหา
5. เปิดโอกาสให้ได้ทำงานอย่างยืดหยุ่น
รายงานผลสำรวจ Deloitte Global Millennial ระบุว่า เกือบ 75% ของพนักงาน Gen Y-Z รู้สึกดีหากได้โอกาสให้ทำงานจากที่บ้าน หรือ Work from Home รวมถึงได้ทำงานในแบบ Remote Working หรือทำงานระยะไกล เพราะพวกเขาจะมีอิสระในการสร้าง Work Life Balance ให้ตัวเองได้
Cover Illustration โดย ANMOM