Grid Brief
- บิลล์ เกตส์ อุทิศเวลากว่า 15 ปีศึกษาเรื่องพลังงานสะอาด เพราะเชื่อมั่นว่าพลังงานจะช่วยขจัดวิกฤตความยากจนและโลกร้อนได้
- เขาเชิญมหาเศรษฐีทั่วโลกลงขันก่อตั้ง Breakthrough Energy Ventures บริษัทที่ลงทุนด้านนวัตกรรมพลังงานสะอาดโดยเฉพาะ
- หนทางชนะปัญหาโลกร้อนของ บิลล์ เกตส์ ก็คือมนุษย์ต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์ ภายในปี พ.ศ. 2593
Wall Street Journal ตั้งคำถามว่า “สิ่งประดิษฐ์อะไรที่คุณอยากให้ใช้กันอย่างแพร่หลายไปทั่วโลก”
บิลล์ เกตส์ มหาเศรษฐีของโลก ตอบว่า “พลังงานสะอาด”
เขาลาออกจากบอร์ดบริหาร Microsoft บริษัทที่เขาร่วมก่อตั้งขึ้น และสร้างรายได้ให้กับเขา 123,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว ๆ 3.7 ล้านล้านบาท เพื่อไปทำภารกิจท้าทายที่สุดในชีวิต นั่นคือการกู้โลกร้อน
นักลงทุนพลังงานสีเขียว
บิล เกตส์หันหลังให้กับงานบริหาร Microsoft ตั้งแต่เมื่อ 20 ปีก่อน และออกเดินทางไปยังภูมิภาคซับ-ซาฮาราอันแร้นแค้นในแอฟริกาไปจนถึงภูมิภาคเอเชียใต้ จุดประสงค์เดิมคือเพื่อกำจัดไข้มาลาเรีย เอดส์และปัญหาสาธารณสุขอื่น ๆ แต่ค่ำคืนหนึ่งในเมืองลากอส ประเทศไนจีเรีย เขารู้สึกประหลาดใจที่ทั้งเมืองถูกกลืนหายไปในความมืด จึงตระหนักในวินาทีนั้นว่า ความยากจนที่ผู้คนเหล่านี้ประสบ ส่วนหนึ่งมาจากความขาดแคลนพลังงานนั่นเอง
“มันยากที่จะสร้างผลผลิตอะไรได้ ถ้าคุณไม่มีไฟฟ้าใช้” เขากล่าวถึงซับ-ซาฮาราที่ประชากร 860 ล้านคนไม่มีไฟฟ้าใช้
เขาจึงเริ่มลงทุนในเทคโนโลยีสร้างพลังงานสะอาด โดยภายในระยะ 5 ปี ตั้งแต่พ.ศ. 2549 – 2554 เขาเทเงินส่วนตัว 25,000 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 761,000 ล้านบาท) ในธุรกิจพลังงานแสงอาทิตย์ บริษัทผลิตแบตเตอรีไปจนถึงพลังงานนิวเคลียร์ที่สะอาดและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
กองทุนกู้โลกร้อนของเพื่อนเศรษฐี
หลังจากต่อสู้เรื่องโลกร้อนเพียงลำพังมานับ 10 ปี ใน พ.ศ.2558 เขาชักชวนเพื่อนมหาเศรษฐีให้มาลงขันกัน คนละหลัก 10 ล้านดอลลาร์ก็พอ เพื่อร่วมกันก่อตั้งบริษัทลงทุนในนวัตกรรมพลังงานที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เป็นศูนย์ ที่ชื่อว่า Breakthrough Energy Ventures ซึ่งมีรายนามหุ้นส่วน อาทิ Jack Ma แห่ง Alibaba, Masayoshi Son แห่ง SoftBank บริษัทลงทุนด้านเทคโนโลยีสัญชาติญี่ปุ่น, Mukesh Ambani ชาวอินเดียที่รวยที่สุดในทวีปเอเชีย และ John Doerr นักลงทุนที่ซื้อหุ้น Amazon และ Google ตั้งแต่เริ่มต้น ซึ่งร่วมลงขันใน Breakthrough Energy Ventures ไป 50 ล้านดอลลาร์ เพราะเล็งเห็นว่า “วิกฤตโลกร้อนคือโอกาสในการลงทุนที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต”
ในที่สุด Breakthrough Energy Ventures (BEV) มีมหาเศรษฐีทั่วโลกร่วมลงทุน 28 ราย “อีก 20 ปีข้างหน้า คุณจะไม่มีเวลามาสงสัยหรอกว่าเงินที่ลงทุนไปจะได้คืนหรือเปล่า แต่คุณจะสงสัยว่าจะมีโลกเหลือให้ลูกหลานของคุณได้อยู่หรือเปล่า” Larry Cohen ลูกน้องคนสนิทของบิล เกตส์กล่าว
เราต้องหันไปบริโภคนวัตกรรมสีเขียวใน ๆ ทุกภาคส่วน ทั้งการใช้รถพลังงานไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ แบตเตอรีลิเธียม-อิออน ไปจนถึงบริโภคอาหารที่ทำจากพืช และผลิต ‘เหล็กสีเขียว’ ที่ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต
คู่มือกู้โลกร้อน
ทุกวันนี้กิจกรรมต่าง ๆ ของสิ่งมีชีวิตในโลกปล่อยก๊าซเรือนกระจกประมาณ 51,000 ล้านตันต่อปี ทำให้โลกอุ่นขึ้นพอที่จะไปละลายชั้นดินเยือกแข็งคงตัว (Permafrost) ซึ่งบรรจุซากแมมมอธและเชื้อโรคอื่น ๆ ที่แช่แข็งอยู่ใต้พื้นโลกมากว่า 40,000 ปี ขณะที่ชาวเกาะตูวาลูในเซาธ์แปซิฟิกต้องกระเถิบหนีน้ำทะเลที่สูงขึ้น ๆ และเกาะที่อยู่อาศัยของพวกเขาจมลง ๆ
บิล เกตส์วัย 65 ปีซึ่งกลายเป็นนักเขียนหนังสือหนา 272 หน้าที่มีชื่อว่า How to Avoid a Climate Disaster ซึ่งเขากลั่นกรองความรู้และประสบการณ์ด้านพลังงานสะอาดกว่า 15 ปี กล่าวว่า โลกเรายังพอมีหวัง หากทำตาม 3 ข้อต่อไปนี้
- ต้องลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้เป็นศูนย์
- ต้องเร่งเปลี่ยนไปใช้พลังงานสะอาดที่มีอยู่แล้ว เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมให้เร็วขึ้น
- ต้องคิดค้นและเผยแพร่นวัตกรรมด้านพลังงานใหม่ ๆ ออกมาเพื่อแทนที่เทคโนโลยีเดิมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก
บิล เกตส์ กล่าวว่า เราต้องหันไปบริโภคนวัตกรรมสีเขียวใน ๆ ทุกภาคส่วน ทั้งการใช้รถพลังงานไฟฟ้า แผงโซลาร์เซลล์ แบตเตอรีลิเธียม-อิออน ไปจนถึงบริโภคอาหารที่ทำจากพืช และผลิต ‘เหล็กสีเขียว’ ที่ไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในกระบวนการผลิต
BEV ลงทุนในบริษัทสร้างนวัตกรรมสีเขียวต่าง ๆ มากมาย อาทิ QuantumScape บริษัทผลิตแบตเตอรีรถพลังงานไฟฟ้า และ TerraPower บริษัทพัฒนาพลังงานนิวเคลียร์ที่เขาร่วมก่อตั้งด้วยเงินทุน 500 ล้านดอลลาร์ในปี พ.ศ.2551 ล่าสุดยังเปิดตัวโปรแกรมใหม่ ให้ทุนแก่นักพัฒนาเทคโนโลยีที่เพิ่งเรียนจบ และโปรแกรม Breakthrough Energy Catalyst ที่จะขายเครดิตชดเชยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้แก่บุคคลทั่วไป บริษัท และสถาบันต่าง ๆ
แม้จะโดนค่อนขอดว่าเป็นการไถ่บาปของเหล่าเศรษฐีที่เป็นตัวการสร้างปัญหาโลกร้อน แต่บิล เกตส์ กล่าวว่า BEV คือแหล่งรวมผู้คนที่ลงทุนในธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงและจะไม่ได้เงินคืนไปอีกหนึ่งทศวรรษ “แต่พวกเขาก็ยังทำเพราะเชื่อมั่นว่าจะแก้ไขปัญหาโลกร้อนได้”