Grid Brief
- คาร์บอนเครดิต คือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลด/กักเก็บได้ โดยในเมืองไทยมีตัวชี้วัดและการรับรองมาตรฐานจากการดำเนินโครงการ T-VER ที่ได้รับการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) หรือ อบก.
- โครงการ T-VER มี 6 รูปแบบ ได้แก่ พลังงานทดแทน การขนส่ง การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน โรงงาน กิจกรรมของเสีย ไปจนถึงเกษตรและป่าไม้
- ประเทศไทยมีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตตั้งแต่ปี 2559-2567 ปริมาณรวมอยู่ที่ 3.29 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โดยเป็นการซื้อขายแบบสมัครใจเพื่อไปชดเชยขององค์กรหรือผลิตภัณฑ์ บุคคล หรืออีเวนต์
ในยุคเปลี่ยนผ่านจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปสู่การใช้พลังงานหมุนเวียน หนึ่งในธุรกิจสีเขียว (Green Economy) ที่เป็นดาวรุ่งพุ่งแรงและรักษ์โลกได้ สร้างรายได้ไปด้วยก็คือ ธุรกิจคาร์บอนเครดิต
ดร.ปราณี หนูทองแก้ว ผู้จัดการสํานักรับรองคาร์บอนเครดิต องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) ชวนทำความรู้จัก โครงการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจตามมาตรฐานของประเทศไทย หรือ Thailand Voluntary Emission Reduction Program (โครงการ T-VER) ว่าคืออะไร ทำอย่างไร และทำรายได้มากน้อยแค่ไหน
คาร์บอนเครดิตคืออะไร
คาร์บอนเครดิต คือ ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ลด/กักเก็บได้ จากการดำเนินโครงการ T-VER และได้รับการรับรองจากคณะกรรมการองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) หรือ อบก. องค์กรที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องของการลดการปลดปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Mitigation) ของประเทศไทย) และถูกบันทึกในระบบทะเบียนของ อบก.
คาร์บอนเครดิตมีหน่วยเป็น tCO2eq (ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า) ถือเป็นทรัพย์สินอย่างหนึ่งที่ไม่มีรูปร่าง แต่นำไปซื้อขายแลกเปลี่ยนได้ เมื่อไม่มีรูปร่าง จับต้องไม่ได้ จึงต้องวัดกันด้วยความน่าเชื่อถือของเครดิต ซึ่งรวมถึงมาตรฐานที่ใช้ในการประเมิน รวมไปถึงความโปร่งใสต่าง ๆ
ทว่า ในเมื่อคาร์บอนเครดิตคือผลิตภัณฑ์ที่จับต้องไม่ได้ แล้วจะตรวจสอบได้อย่างไร
หน่วยงานที่ขึ้นทะเบียนโครงการ T-VER และให้การรับรองคาร์บอนเครดิต คือ องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์กรมหาชน) (อบก.) เป็นหน่วยงานของรัฐภายใต้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
อบก. ไม่ได้ดำเนินเพียงลำพัง หากยังมีคณะอนุกรรมการอบก. คณะอนุกรรมการพิจารณาโครงการ T-VER ตลอดจนผู้เชี่ยวชาญทั้งภาครัฐภาคเอกชนที่เข้ามาช่วยพิจารณาผลักดันโครงการ และช่วยพัฒนาระเบียบวิธีและหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
มาตรฐานและการประกันความน่าเชื่อถือของโครงการ T-VER นั้นมีกรอบดำเนินโครงการที่สอดคล้องกับมาตรฐาน ISO 14064-2:2019 และแนวทางการตรวจสอบความใช้ได้และการทวนสอบปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของโครงการสอดคล้องตามมาตรฐาน ISO 14064-3:2019 อีกทั้งยังตรวจสอบความใช้ได้โครงการและทวนสอบปริมาณก๊าซเรือนกระจกโดยผู้ประเมินภายนอกสำหรับโครงการภาคสมัครใจ โดยดูข้อมูลโครงการต่าง ๆ ได้ที่เว็บไซต์โครงการ T-VER และตรวจสอบได้ว่าแต่ละโครงการมีการซื้อ-ขายเท่าไรในระบบทะเบียน T-VER Credit
ผู้เกี่ยวข้องในโครงการ T-VER มีใครบ้าง
- ผู้พัฒนาโครงการ (Project Participant) คือ บุคคลซึ่งเป็นผู้ดำเนินการตามขั้นตอนการพัฒนาโครงการ T-VER และมีความรับผิดชอบในกระบวนพัฒนาโครงการ T-VER เช่น จัดทำเอกสารประกอบการขอขึ้นทะเบียนโครงการและการเปิดบัญชี จัดทำเอกสารประกอบการขอรับรองคาร์บอนเครดิต เป็นต้น โดยผู้พัฒนาโครงการอาจเป็นเจ้าของโครงการด้วยก็ได้
- เจ้าของโครงการ (Project Owner) คือ บุคคลที่มีกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของโครงการ เช่น โรงงาน เครื่องจักร เป็นต้น ซึ่งจะเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในคาร์บอนเครดิต ทั้งนี้ เจ้าของโครงการสามารถทำสัญญาตกลงกรรมสิทธิ์ในคาร์บอนเครดิตกับผู้พัฒนาโครงการได้ (กรณีผู้พัฒนากับเจ้าของโครงการเป็นคนละรายกัน)
- ผู้ประเมินภายนอกสำหรับโครงการภาคสมัครใจ (Validation and Verification Body: VVB) คือ นิติบุคคลที่ได้รับการรับรองระบบงาน (Accreditation) หน่วยตรวจสอบความใช้ได้ และทวนสอบก๊าซเรือนกระจก และขึ้นทะเบียนรายชื่อเป็นผู้ประเมินภายนอกสำหรับโครงการภาคสมัครใจกับ อบก.
VVB ในประเทศไทยมี 10 ราย ได้แก่
- ศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านกลยุทธ์ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
- หน่วยรับรองการจัดการก๊าซเรือนกระจก มหาวิทยาลัยพะเยา
- บริษัท เอสจีเอส (ประเทศไทย) จำกัด
- บริษัท บูโร เวอริทัส เซอทิฟิเคชั่น (ประเทศไทย) จำกัด
- บริษัท อีซีอีอี จำกัด
- สถาบันรับรองมาตรฐานไอเอสโอ อุตสาหกรรมพัฒนามูลนิธิ
- หน่วยวิจัยเพื่อการจัดการพลังงานและเศรษฐนิเวศ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
- หน่วยงานรับรองก๊าซเรือนกระจก มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์
- บริษัท ทูฟ นอร์ด (ประเทศไทย) จำกัด
- บริษัท บีเอสไอ กรุ๊ป (ประเทศไทย) จำกัด
โครงการ T-VER มีกี่ระดับ
โครงการ T-VER มี 2 ระดับ ได้แก่ Standard T-VER และ Premium T-VER มีความแตกต่างในหลักการ ดังต่อไปนี้
โครงการ Standard T-VER ต้องเป็น…
- โครงการยังไม่เริ่ม หรือ เริ่มแล้วย้อนหลังไม่เกิน 3 ปี
- มีผลประโยชน์ร่วมอื่น ๆ นอกเหนือจากการลดก๊าซเรือนกระจก
ส่วนโครงการ Premium T-VER ต้องเป็น…
- โครงการใหม่เท่านั้น โดยยังไม่จ้างเหมาติดตั้ง ยังไม่ปลูกหรือก่อสร้างใด ๆ
- ต้องดีกว่าปกติจริง ๆ โดยมีการพิสูจน์การดำเนินงานเพิ่มเติมจากการดำเนินงานปกติที่เข้มข้น
- มีการรับฟังความคิดเห็นผู้เกี่ยวข้อง
- สนับสนุนให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและไม่สร้างผลกระทบต่อผู้คนและสิ่งแวดล้อมโดยรอบ
- เครดิตเก็บมาแล้วต้องไม่หาย
โครงการ T-VER มีกี่ประเภท
โครงการ T-VER มี 6 รูปแบบ 13 ประเภท ได้แก่
- พลังงานทดแทน (Renewable Energy) ได้แก่ โครงการพลังงานหมุนเวียนหรือพลังงานที่ใช้ทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล โครงการการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตไฟฟ้าและการผลิตความร้อน
- การขนส่ง (Transport) ได้แก่ โครงการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ โครงการใช้ยานพาหนะไฟฟ้า โครงการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องยนต์
- การเพิ่มประสิทธิภาพพลังงาน (Energy Efficiency) ได้แก่ โครงการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานในอาคาร โรงงานและในครัวเรือน
- โรงงาน (Factory) ได้แก่ โครงการปรับเปลี่ยนสารทำความเย็นธรรมชาติ โครงการใช้วัสดุทดแทนปูนเม็ด
- กิจกรรมของเสีย (Waste) ได้แก่ โครงการจัดการขยะมูลฝอย โครงการจัดการน้ำเสียชุมชน โครงการนำก๊าซมีเทนมาใช้ประโยชน์ โครงการจัดการน้ำเสียอุตสาหกรรม
- เกษตรและป่าไม้ (Land Use) ได้แก่ โครงการลด ดูดซับและการกักเก็บก๊าซเรือนกระจกจากภาคเกษตรและป่าไม้
โครงการ T-VER ทำรูปแบบใดได้บ้าง
ทำได้ 3 รูปแบบ ได้แก่ โครงการเดี่ยว ควบรวมและแผนงาน
โครงการแบบเดี่ยว ต้องมีที่ตั้งแห่งเดียวและจัดทำเอกสารข้อเสนอโครงการเล่มเดียว
โครงการแบบควบรวม มีที่ตั้งหลายแห่ง ทุกโครงการย่อยเป็นประเภทเดียวกัน และใช้ระเบียบวิธีเดียวกัน ระยะเวลาคิดเครดิตของทุกแห่งเหมือนกัน และจัดทำเอกสารข้อเสนอโครงการเล่มเดียว
โครงการแบบแผนงาน ทุกกลุ่มโครงการย่อยเป็นประเภทเดียวกัน ใช้ระเบียบวิธีเดียวกัน ปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่คาดว่าจะลด/กักเก็บได้ของโครงการต้องไม่เกิน 60,000 tCO2eq ต่อปี ระยะเวลาคิดเครดิตของกลุ่มโครงการย่อยกำหนดไม่เท่ากันได้ จัดทำเอกสารข้อเสนอโครงการแบบแผนงาน และทำเอกสารของกลุ่มโครงการย่อยแต่ละกลุ่มแยกกัน กลุ่มโครงการย่อยแต่ละกลุ่มต้องเป็นโครงการแบบขนาดเล็กมาก โดยเพิ่มกลุ่มโครงการย่อยได้เรื่อย ๆ ในกรอบอายุของแผนงาน
ขั้นตอนการพัฒนาการโครงการ Standard T-VER
- ขึ้นทะเบียนโครงการ ผู้พัฒนาโครงการพิจารณาขอบเขตการดำเนินโครงการ จัดทำเอกสารข้อเสนอโครงการ ให้ผู้ประเมินภายนอกตรวจสอบความใช้ได้โครงการ แล้วรวบรวมเอกสารส่งไปยัง อบก. เพื่อขอขึ้นทะเบียนโครงการ T-VER ได้แก่ ใบคำขอขึ้นทะเบียนโครงการ เอกสารข้อเสนอโครงการ ไฟล์คำนวณแบบ Excel รายงานตรวจสอบความใช้ได้ รายงานการประเมินผลประโยชน์ร่วม เอกสารประกอบการเปิดบัญชี และอื่น ๆ ตามที่ อบก. กำหนด
- รับรองคาร์บอนเครดิต ผู้พัฒนาโครงการติดตามผลและจัดทำรายงาน ผู้ประเมินภายนอกทวนสอบปริมาณก๊าซเรือนกระจก และรับรองคาร์บอนเครดิต
โดยโครงการ Standard และ Premium T-VER มีความแตกต่างในขั้นตอนการขึ้นทะเบียน คือ Premium T-VER ต้องยังไม่เริ่มดำเนินโครงการ ต้องยื่นแจ้งความประสงค์ในการพัฒนาโครงการ และจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นผู้มีส่วนได้เสียก่อนเริ่มดำเนินโครงการ ต้องจัดทำรายงานแนวทางการประเมินการพัฒนาที่ยั่งยืนและการป้องกันผลกระทบด้านลบของโครงการ เผยแพร่รายงานเพื่อรับฟังความคิดเห็นสาธารณะทางเว็บไซต์ อบก. 30 วัน เงื่อนไขการพิสูจน์การดำเนินงานเพิ่มเติมจากปกติ มีการจัดทำรายงานความเสี่ยงต่อการสูญเสียคาร์บอนจากความไม่ถาวรของโครงการ
นอกจากนี้ การหักเครดิตสำรอง วิธีการประเมินคาร์บอนเครดิต ระยะเวลาคิดคาร์บอนเครดิต เช่น Standard T-VER อายุแผนงาน 10 ปี ส่วนแบบ Premium T-VER 20 ปี และการต่ออายุได้โครงการ Standard T-VER อาจต่ออายุได้ 1 ครั้ง หรือไม่จำกัดจำนวนครั้งตามประเภทโครงการ ส่วนแบบ Premium T-VER ต่ออายุได้ 2 ครั้ง ไปจนถึงค่าใช้จ่ายในการพัฒนาโครงการต่างไปจากโครงการ Standard T-VER อีกด้วย
กว่าจะได้เครดิต มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง
- ค่าจัดทำเอกสาร/ดำเนินโครงการ (ค่าที่ปรึกษา 12,000 – 20,000 บาท/คน/วัน)
- ค่าตรวจวัดและจัดเก็บข้อมูล
- ค่าตรวจสอบความใช้ได้และทวนสอบโครงการ (ค่าตรวจของผู้ประเมินภายนอก มีค่าขึ้นทะเบียนและขอรับรองแต่ละครั้ง 12,000 – 20,000 บาท/คน/วัน)
- ค่าธรรมเนียมการขึ้นทะเบียน/รับรองเครดิต (ขึ้นทะเบียนโครงการแบบ Standard T-VER 5,000 บาท/โครงการ แบบ Premium T-VER 10,000 บาท/โครงการ ค่ารับรองคาร์บอนเครดิต 5,000 บาท/คำขอ หรือ 3,000 บาท/คำขอ และหักคาร์บอนเครดิต 10 tCO2eq 10,000 บาท/คำขอ หรือ 5,000 บาท/คำขอ และหักคาร์บอนเครดิต 10 tCO2eq)
พัฒนาโครงการคาร์บอนเครดิตแล้วนำไปใช้อะไรได้บ้าง
- สามารถใช้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนระหว่างผู้ถือเครดิต
- ใช้ในการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หลายหน่วยงานมีการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกขององค์กร ผลิตภัณฑ์ หรือเวลาจัดงาน เช่น โอลิมปิก หรือฟุตบอลโลก มีการคำนวณการปล่อยก๊าซเรือนกระจก งานอีเวนต์ และสามารถซื้อคาร์บอนเครดิตไปชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเหล่านั้นได้ หรือระดับบุคคลก็สามารถคำนวณได้ว่าในแต่ละปีเราปล่อยก๊าซเรือนกระจกเท่าไรจากกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การขับรถ ใช้ไฟฟ้าที่บ้าน โดยชดเชยเพื่อเป็น “Carbon-Neutral Man คนที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์”
- หน่วยงานสามารถใช้ในการรายงานได้ ไม่ว่ารายงานประจำปี รายงานความยั่งยืนองค์กร รายงานด้านสิ่งแวดล้อม
- ช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับองค์กร
ปัจจุบันมีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตใน 2 รูปแบบ คือ
1. OTC (over the counter) เป็นการซื้อขายที่ผู้ซื้อผู้ขายตกลงเรื่องราคากันเอง
2. Trading Platform เป็นตลาดแลกเปลี่ยนซื้อขายคาร์บอน อบก. มีความร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยจัดตั้งโอกาสซื้อขายหรือเป็นแพลตฟอร์มที่เรียกว่า MTIS โดยผู้ขายมีการเสนอราคาขาย ผู้ซื้อเรียกราคาที่จะซื้อ มีการจ่ายเงินผ่านธนาคาร 3 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารไทยพาณิชย์ กรุงไทยและเอ็กซิมแบงก์ แพลตฟอร์มไม่มีค่าธรรมเนียมในการซื้อขายถ่ายโอน ส่วนการซื้อขายแบบ OTC สามารถดำเนินการซื้อขายถ่ายโอนได้เลย
สถิติข้อมูลการซื้อขายคาร์บอนเครดิตแยกตามปีงบประมาณ
ประเทศไทยมีการซื้อขายคาร์บอนเครดิตตั้งแต่ปี 2559-2567 ปริมาณรวมอยู่ที่ 3.29 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า ตัวเลขไม่สูงนักเนื่องจากการซื้อขายในประเทศไทยเป็นการซื้อขายแบบสมัครใจเพื่อไปชดเชยขององค์กรหรือผลิตภัณฑ์ บุคคล หรืออีเวนต์
ในปี 2565 ปริมาณการซื้อขายค่อนข้างสูง เป็นผลจากปัจจัยภายนอกคือ ผลการประชุม COP26 ที่ได้กำหนดแนวทางการถ่ายโอนการลดก๊าซเรือนกระจกระหว่างประเทศ บรรลุร่วมกันถึงการปล่อยคาร์บอนเป็นศูนย์ ทำให้ทั่วโลกตื่นตัวเรื่องนี้ ส่งผลให้มีการซื้อขายเพิ่มสูงขึ้น
สถิติการซื้อขาย Over the counter (OTC) ปีงบประมาณ 2567 โครงการ T-VER แยกประเภทโครงการ เช่น โครงการชีวภาพ ราคาต่ำสุดในปี 2567 อยู่ที่ 200 บาทต่อตัน สูงสุด 250 บาทต่อ ส่วนราคาสูงสุดอยู่ในโครงการประเภทป่าไม้
ส่วนราคาซื้อขายในเทรดดิงแพลตฟอร์ม FTIX ปริมาณการซื้อขายยังไม่มากนัก ปีงบประมาณ 2567 มีการซื้อขาย 1,700 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า มูลค่าอยู่ที่ 110,000บาท ราคาอยู่ที่ 44 บาทต่อตันไปจนถึง 300 บาทต่อตัน
ปัจจัยใดบ้างที่ส่งผลต่อราคาคาร์บอนเครดิต
- ประเภทโครงการ ราคาของภาคป่าไม้จะค่อนข้างสูง เขาค่อนข้างให้การสนับสนุนภาคป่าไม้ มองว่ามี Co Benefit หลาย ๆ อย่าง ภาคป่าไม้เป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ราคาคาร์บอนเครดิตสูงหรือต่ำ
- มาตรฐานการออกเครดิต มาตรฐานไหนมีความน่าเชื่อถือมากเพียงใด เช่น มาตรฐาน Vera, Gold Standard, CDM หรือ T-VER เป็นต้น
- ปีที่แสดงความเก่าใหม่ของคาร์บอนเครดิต คาร์บอนเครดิตที่เพิ่งเกิดจะได้ราคาดีกว่า
- ผลประโยชน์ร่วม ถ้าโครงการมีประโยชน์หลาย ๆ ด้าน เช่น ช่วยชุมชน ส่งเสริมด้านสังคม เศรษฐกิจ หรือป่าไม้มีความหลากหลายทางชีวภาพ จะส่งผลให้ได้ราคาสูงขึ้น
ผู้ที่สนใจอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิตและโครงการ T-VER ได้ในเว็บไซต์ กลไกลดก๊าซเรือนกระจก https://ghgreduction.tgo.or.th/ และเว็บไซต์ อบก. https://tver.tgo.or.th/