เป็นข่าวช็อกวงการตั้งแต่เปิดต้นปี หลังจากบิ๊กเทคหลายแบรนด์ประเดิมปลดคน จนถึงขณะนี้มีพนักงานที่ได้รับผลกระทบไปแล้วเกือบ 30,000 คนทั่วโลก
ตามรายงานของ Layoffs.fyi เผยว่า มีพนักงานที่ถูกปลดจากบริษัทและสตาร์ตอัพกว่า 277 บริษัท โดยส่วนใหญ่ธุรกิจการเงินได้รับกระทบมากสุด และมีเหตุผลจากการนำ AI มาใช้แทนคน
จะว่าไปยอดการเลย์ออฟไม่ใช่สัญญาณที่ดีนักสำหรับคนทำงานในแวดวงนี้ มีบริษัทดังที่ปลดพนักงาน อาทิ Amazon เลย์ออฟพนักงานในอุตสาหกรรมคอนเทนต์หลายร้อยตำแหน่งทั้ง ‘Prime Video’ ค่ายหนัง Amazon MGM Studios เกมสตรีมมิง Twitch ด้าน Apple ออกคำสั่งให้พนักงาน 121 รายในซานติเอโก เลือกระหว่างย้ายไปทำงานที่เมืองออสติน รัฐเทกซัสแทน หรือลาออก ส่วน Microsoft ปลดพนักงานแผนกเกมมิงหลายพันคน หลังจากเข้าซื้อค่ายเกม Activision Blizzard สำเร็จ เพื่อลดการทำงานซ้ำซ้อนกัน
นอกจากนี้ ยังมีบริษัทเทคโนโลยี อย่าง Youtube Tiktok และสตาร์ตอัพทั่วโลกที่เดินหน้าปลดพนักงานกว่า 100 ราย อาทิ EBay, Riot Games, SolarEdge, Discord, Intel, Hyperloop One (ปิดกิจการ) และ SAP การเลย์ออฟรอบนี้ ส่วนหนึ่งหลายบริษัทพยายามลดสเกลในบางแผนกเพื่อรักษาเสถียรภาพและความเชื่อมั่นของนักลงทุน
แต่ปัจจัยหลักที่นักวิเคราะห์เห็นตรงกันว่าน่าจะมาจากการหันมาลงทุนในเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์กันเต็มสูบ โดยเฉพาะ Generative AI
ทั้งนี้ เราต้องไม่ลืมว่ากระแสนิยมของเทคโนโลยีนั้นมีทั้งช่วง Hype ทั้งช่วงที่ล้มหายตายจาก บรรดานักลงทุนหน้าใหม่อาจตื่นเต้นและแห่ลงทุนในสตาร์ตอัพ AI แต่ก็ต้องคอยเฝ้าระวังฟองสบู่อีกเช่นกัน
นี่เป็นเพียงคลื่นระลอกแรก ๆ จาก Generative AI เท่านั้น และอาจกล่าวได้ว่า ปัญญาประดิษฐ์จะเข้ามาแทนที่ ‘งาน’ รวมถึง ‘ทักษะ’ บางส่วนของมนุษย์นั้นไม่ใช่เรื่องเกินจริงอีกต่อไป ในระยะยาวหลายองค์กรอาจเฝ้าระวังและต้องจับตามอง ชั่งน้ำหนักหรือถอดบทเรียนว่า แท้จริงแล้วการทดแทนนั้น มีส่วนได้หรือส่วนเสียมากกว่ากัน ส่วนบุคคลหรือพนักงานเองก็จำเป็นต้องอัพสกิล รีสกิลตัวเองในทักษะงานต่าง ๆ อยู่เสมอเช่นกัน