องค์กรพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency, IEA) เปิดบทวิเคราะห์ที่ข้อมูลบ่งชี้ว่า เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปีนับจาก พ.ศ.2562 ที่การเติบโตในเซ็กชั่นพลังงานสะอาดเพิ่มเป็น 2 เท่าของเชื้อเพลิงฟอสซิล (ได้แก่ ถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ)
บทวิเคราะห์ของ IEA ยังระบุด้วยว่า หากไม่มีโรคระบาดโควิด-19 วิกฤตพลังงาน และการขาดเสถียรภาพทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลกแล้ว พลังงานสะอาดจะเติบโตได้มากกว่านี้อีกหลายเท่าตัว แต่ด้วยปัจจัยต่าง ๆ ดังที่กล่าวมาจึงทำให้การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นในปี 2566
ในปี 2566 ทั่วโลกมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ เพิ่มขึ้น 410 ล้านตัน หรือเพิ่มขึ้น 1.1% จากปีก่อนหน้า ปัจจัยสำคัญก็คือภาวะแล้งรุนแรงที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา จีนและนานาประเทศ ส่งผลให้พลังงานน้ำขาดแคลน หลายประเทศจึงต้องหันไปใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลมาทดแทน
แม้นั่นจะเป็นข่าวร้ายว่ามีการปล่อยก๊าซคาร์บอนฯ เพิ่มขึ้นในปี 2566 แต่ข่าวดีก็คือเทคโนโลยีของพลังงานสะอาดได้เติบโตและก้าวหน้าขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเช่นกัน
เห็นได้จากการใช้รถอีวี การนำพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานนิวเคลียร์เข้ามาทดแทนการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลไปได้มาก หาไม่แล้วทั่วโลกจะมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากกว่านี้ถึง 3 เท่าเลยทีเดียว
เมื่อดูในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจพัฒนาแล้ว (Advanced Economies: AEs) เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ยุโรป และสิงคโปร์ พบว่า พลังงานสะอาดเติบโตขึ้นมาก จนในปี 2566 เป็นปีแรกที่พลังงานไฟฟ้ามาจากแหล่งพลังงานที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่ำ อาทิ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม ฯลฯ
ในช่วงปี 2562-2566 พลังงานสะอาดเติบโตแซงหน้าเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็น 2 เท่า และจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดในทศวรรษนี้ โดยการใช้พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าทั่วโลกนับจากปี 2562 สามารถทดแทนปริมาณถ่านหินที่อินเดียและอินโดนีเซียใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าใน 1 ปีรวมกัน และทดแทนปริมาณก๊าซธรรมชาติที่รัสเซียส่งออกไปยังสหภาพยุโรปทั้งปีช่วงก่อนทำสงครามกับยูเครนได้อีกด้วย
การเติบโตยังเห็นได้ชัดยิ่งขึ้นในอุตสาหกรรมยานยนต์ เมื่อ IEA เปิดเผยข้อมูลว่า 1 ใน 5 ของรถที่จำหน่ายทั่วโลกในปี 2566 คือรถอีวี ยอดขายรถพลังงานไฟฟ้าเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในหลายประเทศ เช่น ในนอร์เวย์ที่จำนวน 4 ใน 5 ที่จำหน่ายเมื่อปีที่แล้วคือรถอีวี ส่วนจีน รถใหม่ป้ายแดงที่วิ่งบนถนน 1 ใน 3 คันคือรถอีวี
เทียบกับในปี 2562 ยอดขายรถอีวีเติบโตเพียงปีละ 2.5% แต่ในปี 2566 เพิ่มขึ้นเป็น 18% รถอีวีคือปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ของโลกเปลี่ยนแปลงไป และ IEA ยังคาดการณ์ว่ารถอีวีจะลดการใช้น้ำมัน 5 ล้านบาร์เรลทั่วโลกได้ภายในปี 2573 ซึ่งหมายถึงการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่จะลดลงไปเรื่อย ๆ ในอนาคต