Grid Brief
- Green Cleaning หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสีเขียว เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากธรรมชาติ ปราศจากสารเคมี และเป็นมิตรต่อผู้ใช้ รวมทั้งสิ่งแวดล้อม
- ผลิตภัณฑ์สีเขียวที่ใช้ทำความสะอาดบ้านเป็นสิ่งที่หาได้รอบตัว เช่น เบกกิ้งโซดา น้ำส้มสายชู และมะนาว
- น้ำยาทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของสารฆ่าเชื้อและสารแต่งกลิ่น มักเจือปนไปด้วยสารเคมีที่มีผลต่อสุขภาพในระยะยาว อาจช่วยให้ขัดสิ่งสกปรกได้ง่าย แต่ไม่ได้ช่วยให้สะอาดเพิ่มขึ้น
มีคำจำกัดความมากมายเกี่ยวกับคำว่า ‘Green Cleaning’ หรือผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสีเขียว แต่ไม่ว่าผลิตภัณฑ์สีเขียวจะทำมาจากอะไร เป้าหมายหลักก็คือการทำความสะอาดที่เป็นมิตรต่อคนและสิ่งแวดล้อม ไม่ก่อให้เกิดขยะ มลพิษ หรือเพิ่มภาระให้กับโลกใบนี้
ของจำเป็นที่ทุกบ้านต้องใช้
ในชีวิตประจำวัน เราใช้ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในการทำความสะอาด ไม่ว่าจะเป็นทำความสะอาดร่างกาย สิ่งของเครื่องใช้ เฟอร์นิเจอร์ หรือสถานที่ต่างๆ ผลิตภัณฑ์สีเขียวอาจทำมาจากเบกกิ้งโซดา น้ำส้มสายชู และมะนาว หรือบางบ้านอาจเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสีเขียวที่ผลิตขึ้นมาแบบสำเร็จรูป
แค่คิดจะทำความสะอาดห้องน้ำเพียงห้องเดียว ทั้งน้ำยาล้างห้องน้ำ น้ำยาทำความสะอาดสุขภัณฑ์ น้ำยาเช็ดกระจก น้ำยาขจัดคราบต่างๆ ล้วนพาเหรดมาพร้อมสรรพ แล้วเคยสงสัยบ้างไหมว่า ในผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเหล่านี้มีส่วนประกอบอะไรบ้าง และจะเป็นอันตรายต่อมนุษย์หรือไม่
หลายคนมักเลือกผลิตภัณฑ์ที่ระบุบนฉลากว่ามีสารต้านเชื้อแบคทีเรียหรือมีตัวยาฆ่าเชื้อโรคชนิดเข้มข้น โดยเข้าใจว่าจะช่วยให้ทำความสะอาดได้มากกว่า ซึ่งทำให้เราดูแลสุขอนามัยได้ดีกว่า แต่รู้หรือไม่ว่าองค์การอาหารและยา ระบุว่า การใช้สบู่ต้านเชื้อแบคทีเรียไม่ได้มีประสิทธิภาพในการป้องกันโรคมากกว่าสบู่และน้ำทั่วไป ในขณะที่สารต้านแบคทีเรียกลับพบว่ามีสารที่อาจเป็นปัญหาต่อฮอร์โมน นอกเหนือจากสารเคมีที่เป็นอันตรายอยู่แล้ว
น้ำยาทำความสะอาดที่มีส่วนผสมของสารฆ่าเชื้อและสารแต่งกลิ่น มักเจือปนไปด้วยสารเคมีที่มีผลต่อสุขภาพในระยะยาว อาจช่วยให้ขัดสิ่งสกปรกได้ง่าย แต่ไม่ได้ช่วยให้สะอาดเพิ่มขึ้น
กลิ่นหอมอาจเสี่ยงโรคในระยะยาว
หลายคนยังนิยมกลิ่นหอมที่ผสมอยู่ในผลิตภัณฑ์ ที่ช่วยให้รู้สึกสะอาดและสดชื่นในเวลาเดียวกัน แม้ “น้ำหอมสังเคราะห์” จะเป็นสิ่งที่เราไม่ได้รับประทานเข้าไป แต่อย่าชะล่าใจไป เพราะผลข้างเคียงไม่ได้น้อยเลย
จากข้อมูลของคณะกรรมการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีระบุว่า ประมาณ 95% ของสารเคมีที่ใช้ในน้ำหอมเป็นสารประกอบสังเคราะห์ที่ได้จากปิโตรเลียม ที่อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนและก่อให้เกิดมะเร็ง ความผิดปกติของระบบประสาท การลดลงของระบบภูมิคุ้มกันความบกพร่องในการเรียนรู้ โรคภูมิแพ้ และ ภาวะมีบุตรยากได้
ขณะที่สารประกอบอินทรีย์ที่ระเหยได้ ซึ่งใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ อาจทำให้การทำงานของระบบประสาทลดลง สารเคมีอื่นๆ อาจเป็นสารระคายเคืองต่อระบบทางเดินหายใจ สารก่อมะเร็งหรือสารพิษต่อระบบสืบพันธุ์ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับขอบเขตของการสัมผัส อาทิ พทาเลต (Phthalates) เป็นสารพลาสติกไซเซอร์ (Plasticizers) ที่เติมเพื่อให้พลาสติกมีความยืดหยุ่นและอ่อนนุ่ม เชื่อว่ามีผลกระทบต่อฮอร์โมน ในขณะที่สารอื่นๆ เช่น ไกลคอล (Glycol) ทำหน้าที่เหมือนสารป้องกันการแข็งตัว อันที่จริงอาจพูดได้ว่า สารเคมีเหล่านี้แค่ช่วยให้การทำความสะอาดง่ายขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้สะอาดขึ้นเลย
มาใช้ผลิตภัณฑ์สีเขียวกันดีกว่า
จากการทดสอบสเปรย์ฆ่าเชื้อที่เป็นที่นิยมกับหนูทดลองพบว่า มีสารเคมีที่ทำลายระบบสืบพันธุ์ในลูกของหนูที่ตั้งครรภ์ แม้จะใช้ในปริมาณเล็กน้อยก็ตาม สำหรับคนที่มีผิวบอบบาง ระคายเคืองง่าย การใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติที่ปราศจากน้ำหอมสังเคราะห์ จะช่วยลดอาการแพ้ได้ โดยไม่ต้องพูดถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากโรคมะเร็ง ความผิดปกติของระบบประสาทและอื่นๆ ซึ่งนอกจากจะปลอดภัยต่อสุขภาพของผู้ใช้แล้ว ยังดีต่อโลก เพราะช่วยลดการปล่อยมลพิษสู่อากาศและแหล่งน้ำ รวมทั้งไม่ทิ้งร่องรอยคาร์บอนฟุตปรินต์เอาไว้ด้วย
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญคือต้องตรวจสอบฉลากแต่ละผลิตภัณฑ์เพื่อหาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพดีที่สุดและเป็นอันตรายน้อยที่สุด แน่นอนว่าผลิตภัณฑ์จากธรรมชาตินั้นปลอดภัยมากกว่า แต่ก็อาจแลกมาด้วยราคาที่สูงกว่า หรือจะเพิ่มทางเลือกด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดสีเขียวที่หาได้ทั่วไป เช่น เบกกิ้งโซดาและน้ำส้มสายชู หากจะเช็ดกระจกครั้งต่อไป ลองใช้น้ำส้มสายชูเล็กน้อยฉีดลงบนกระจก จากนั้นใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ขยำๆ แล้วเช็ดขัดกระจกตามปกติ จะช่วยหน้าต่างเงางามไร้คราบมัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้น้ำยาทำความสะอาดกระจก แม้อาจจะต้องยุ่งยากขึ้นและออกแรงเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย แต่ก็ถือว่าปลอดภัย และไม่ทำให้บ้านมีกลิ่นหอมฉุนชวนเวียนหัวจากน้ำยาเช็ดกระจกอีกด้วย