หลายคนรู้ดีว่า ภายใต้แสงไฟที่ไม่มีคุณภาพอาจส่งผลต่อสายตาได้ บวกกับพฤติกรรมของคนยุคใหม่อย่างการจ้องหน้าจอทั้งจากคอมพิวเตอร์และสมาร์ตโฟนตลอดเวลา ส่งผลกระทบต่อสุขภาพตา รวมถึงการจัดแสงไฟในบ้านให้สว่างเพียงพอก็สำคัญไม่แพ้การแต่งบ้านให้น่าอยู่

คนทั่วไปมักเข้าใจว่าหลอดไฟยิ่งสว่างยิ่งดีและแสงสว่างที่เพียงพอ คือ แสงสว่างที่มาก แต่แสงสว่างที่มากเกินไปหรือ แสงจ้า (Glare) อาจกลายเป็นตัวการทำร้ายสายตาโดยไม่รู้ตัว ด้วยแสงส่องสว่างที่เข้าตามากเกินไป ทำให้มองเห็นได้ไม่ชัดเจน ไม่สบายตา ทางที่ดีควรเลือกแสงสว่างที่ใช่ให้กับบ้านคุณ จะมีส่วนช่วยลดการเพ่งของดวงตาได้

Credit: Freepik

นอกจากนี้ หลอดไฟแอลอีดีที่นิยมใช้กันด้วยคุณสมบัติมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอายุการใช้งานที่ยาวนาน ประหยัดไฟ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ยังมีคุณสมบัติสำคัญในการช่วยถนอมสายตา ไม่สร้างแสงกะพริบ (Flicker) การสั่นกะพริบของแสงจากหลอดแอลอีดีเป็นแสงกะพริบด้วยความถี่สูงมากจนทำให้เรารู้สึกว่าไม่กะพริบ ถ้าสมองเรารับรู้ว่ามีแสงกะพริบจะทำให้ตาและสมองของเราต้องทำงานหนักขึ้น เพราะต้องพยายามปรับตามแสงสว่างที่เปลี่ยนไป ในหลอดไฟที่ไม่ได้คุณภาพอาจทำให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้งานได้ในระยะยาว ก่อให้เกิดอาการตาล้า ปวดหัว หรือปวดไมเกรน อีกด้วย

นอกจากนี้ หลอดไฟสีต่าง ๆ ก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับสายตา ไม่ว่าจะเป็นสีส้ม สีเหลือง โดยทั่วไปแสงที่มีความยาวคลื่นยาวจะสบายสายตามากกว่าแสงที่มีความยาวคลื่นสั้น แสงสีแดงและสีส้มจึงช่วยให้สบายสายตาได้ดีกว่าแสงสีน้ำเงินและสีขาว ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องสังเกตคือแสงสีขาวเป็นแสงที่ผสมกันของแสงสีต่าง ๆ ดังนั้น จึงมีความสว่างสูงและทำให้แสบตาได้

Credit: Freepik

นอกจากเรื่องความยาวของคลื่นของแสงแล้ว ยังมีเรื่องอุณหภูมิสีของแสงก็มีผลต่อความสบายตาเช่นกัน โดยการวัดแสงเป็นหน่วยองศาเคลวิน (K) แสงที่มีอุณหภูมิสีต่ำ เช่น แสงสีส้มจะมีความยาวคลื่นยาวและสบายสายตากว่าแสงที่มีอุณหภูมิสีสูง เช่น แสงสีน้ำเงิน

ดังนั้น การเลือกหลอดไฟสำหรับการใช้งานต่าง ๆ ควรคำนึงถึงความสบายตาด้วย โดยเลือกใช้หลอดไฟที่มีความยาวคลื่นยาวและอุณหภูมิสีต่ำ เช่น หลอดไฟ LED สีส้มหรือสีแดง สำหรับการใช้งานที่ต้องการความสบายตา เช่น ห้องนอนหรือห้องทำงาน เป็นต้น


รูป: Freepik